รายละเอียด
เรียบเรียงโดย Tech2Biz
แหล่งข้อมูล: www.theverge.com
ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลเด็กในฟิลาเดเฟียประสบความสำเร็จในการพัฒนามดลูกเทียม โดยทดลองเลี้ยงตัวอ่อนของแกะภายในมดลูกเทียมที่จำลองสภาวะต่างๆ ของครรภ์มารดา ความสำเร็จครั้งนี้ก่อให้เกิดความหวังในการใช้เทคโนโลยีนี้ในมนุษย์เพื่อช่วยชีวิตทารกที่คลอดก่อนกำหนด
การคลอดก่อนกำหนด (premature birth) เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งทางสูติแพทย์และกุมารแพทย์ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่ามีทารกคลอดก่อนกำหนด (ระยะตั้งครรภ์ไม่ถึง 37 สัปดาห์) มากกว่าปีละ 15 ล้านคน หรือมากกว่า 10% ของการคลอดทั้งหมด ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 1 ของทารกแรกเกิด (neonatal mortality) ในขณะที่ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดแล้วรอดชีวิตมักมีปัญหาตามมา เช่น มีน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการทางด้านสติและร่างกายไม่ดี หูหนวก ตาบอด โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ นับเป็นปัญหาใหญ่ของทั้งครอบครัวและประเทศชาติ
มดลูกเทียมที่พัฒนาโดยทีมวิจัย
นี่คือ “มดลูกเทียม” ที่ทีมวิจัยโรงพยาบาลเด็กในฟิลาเดเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกาพัฒนาคิดค้นสำเร็จ Tech2Biz ขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจของเทคโนโลยีดังนี้
- “มดลูกเทียม” ที่พัฒนาขึ้นมีลักษณะคล้ายถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ปิดสนิทและปลอดเชื้อ จำลองสภาพแวดล้อมและสภาวะต่างๆ ให้ใกล้เคียงกับภายในมดลูก นักวิจัยเรียกถุงนี้ว่า “Biobag”
- Biobag ที่พัฒนาขึ้นอาจมีหน้าตาไม่เหมือนกับมดลูกจริงๆ แต่มีส่วนประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่เช่นเดียวกับมดลูกจริงๆ ได้แก่ การห่อหุ้มและปกป้องทารกจากโลกภายนอก สารละลายอิเล็กโตรไลท์ที่ทำหน้าที่แทนน้ำคร่ำภายในมดลูก และท่อนำเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงทารกในครรภ์
- ทีมวิจัยได้ทดลองใช้มดลูกเทียมที่พัฒนาขึ้นนี้โดยนำลูกแกะ 8 ตัวจากท้องแม่ที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 105 ถึง 120 วัน เทียบเท่ากับทารกมนุษย์ที่มีอายุครรภ์ 22-24 สัปดาห์ซึ่งเป็นระยะก่อนกำหนดที่ทารกไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นอกครรภ์มารดา มาเลี้ยงในถุงมดลูกเทียมนี้
- ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์พบว่าลูกแกะทั้ง 8 ตัวมีการพัฒนาและเจริญเติบโตดีไม่แตกต่างจากลูกแกะปกติ ทั้งนี้ สมองและปอดของลูกแกะมีการเติบโตพัฒนาขึ้น เส้นขนเริ่มขึ้นตามตัว และสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการขยับเปลือกตาและปากได้
- แม้ว่าการศึกษาครั้งนี้จะให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้น แต่การพัฒนามดลูกเทียมไปสู่การดูแลตัวอ่อนของมนุษย์นั้นยังค่อนข้างยาวไกล เนื่องจากสภาพแวดล้อมของมดลูกและพัฒนาการของทารกมนุษย์มีความซับซ้อนกว่ามาก อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยอยู่ระหว่างการขออนุญาตทางองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ โดยคาดหวังว่าจะสามารถทดสอบกับมนุษย์ได้ภายใน 3 – 5 ปีข้างหน้า
แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่แค่ในระดับสัตว์ทดลอง แต่ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ก็ได้กลายเป็นความหวังของพ่อแม่ทุกคนบนโลกใบนี้ในการช่วยเหลือลูกคลอดก่อนกำหนด